เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๒ มิ.ย. ๒๕๕๙

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ วันนี้วันพระ เพราะเราเป็นชาวพุทธ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา หลวงตาบอกว่า คนเราไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสัจจะความจริง สัจจะความจริงอันนี้จะรื้อค้นขึ้นมาได้ในหัวใจของเรา ในหัวใจของเราที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

แต่ในศาสนาทั่วๆ ไปอ้อนวอนขอเอา ขอที่พึ่งจากข้างนอก ถ้าขอที่พึ่งจากข้างนอก ตัวเราไม่ต้องทำไง ถ้าตัวเราไม่ต้องทำสิ่งใด เราขอ เราอ้อนวอนสิ่งใดได้สมความปรารถนา สมความปรารถนานั้นเป็นสมความปรารถนาของความโลภ ต้องการได้สมความปรารถนา

แต่เวลาในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาทำบุญกุศลๆ มันสมความปรารถนาไหม คนเราทุกข์คนเรายาก เราไม่ต้องการเผชิญกับความทุกข์ความยากอันนั้น เราจะเผชิญกับความสุขๆ ไง แต่ความสุขขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า วิมุตติสุขๆ ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด ประเสริฐตรงไหน

ประเสริฐตรงที่นางพิมพาให้สามเณรราหุลไปขอสมบัติจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปขอราชบัลลังก์ แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพิจารณาแล้ว ถ้าเป็นกษัตริย์ขึ้นมามันก็ต้องปกครองบ้านเมืองไป ก็ต้องตายไป แต่ถ้าเป็นสมบัติอริยทรัพย์ สมบัติที่เป็นสัจจะความจริงในใจ ถึงให้พระสารีบุตรบวชสามเณรราหุล นี่สมบัติอันนี้ๆ ไง พระพุทธศาสนา สมบัติในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมบัติในใจของเราไง ถ้าเรารื้อค้นอันนี้ๆ รื้อค้นสัจจะความจริงอันนี้ขึ้นมา พระพุทธศาสนาสอนลงที่นี่ สอนลงที่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก คือคนคนนั้นเป็นคนดี หัวใจดวงนั้นเป็นหัวใจที่ดี ถ้าทุกๆ หัวใจเป็นหัวใจที่ดีทั้งหมด เป็นคนดีทั้งหมด โลกมันจะมีความสุขมากๆ

โลกที่มีความทุกข์วุ่นวายกันอยู่นี้เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากของคน คนมักมากอยากใหญ่ พอคนมักมากอยากใหญ่ใช่ไหม เราพูดประจำ มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง นี่เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาเราคิด เราคิดยอกย้อนในใจของเรา เราไม่กล้าพูดออกมาหรอก เวลาพูดออกมาพูดแต่คำสวยหรูทั้งนั้นเลย แต่เวลาจะทำขึ้นมา ทำไม่ได้ไง มันขัดขวางในหัวใจไปทั้งหมดเลย มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด มนุษย์เป็นสัตว์ประหลาดขึ้นมาแล้ว วันนี้วันพระ พระคือผู้ประเสริฐ มันประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่ในพุทธะไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ สั่งพระไว้ ถ้าท่านนิพพานไปแล้ว เวลาจะระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอานนท์ถามว่าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว พระเวลาจะระลึกถึงจะไปหาที่ไหน

ให้ไปที่สังเวชนียสถานทั้ง ๔ ไปที่ท่านเกิด ไปที่ท่านตรัสรู้ ไปที่ท่านปฐมเทศนา ไปที่ท่านนิพพาน

เวลาคนไปอินเดียกันแล้ว แหม! ปลื้มใจๆ เลย แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้หายใจเข้านึกพุท ให้หายใจออกนึกโธ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานอยู่กลางหัวใจของเรานี้ พุทธะ ผู้เบิกบาน พุทธะสว่างไสว พุทธะผ่องใส เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ เราจะไปสัมผัสกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยศรัทธา เวลาสัมผัสกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยความเพียรของเรา ถ้าความเพียรของเรา เราได้สัมผัส

ถ้าจิตใจดวงใดทำความสงบของใจเข้ามาได้ หลวงตาท่านพูดประจำ ถ้าใครทำสมาธิได้ พออยู่พอกิน พออยู่พอกินเพราะมันมีความสุขไง

ทุกคนนะ เราเป็นชาวพุทธ แต่เราก็ถามว่านรกมีหรือเปล่า สวรรค์มีหรือเปล่า บุญมีจริงหรือ บาปมีจริงหรือ เราจะถามเขาทั่วไปหมดเลย เพราะศรัทธาเรามันยังคลอนแคลนไง ถ้าจิตดวงใดทำความสงบของใจเข้ามา พอใจเข้าไปได้สัมผัสพุทธะ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตัวเป็นๆ นั่นน่ะ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันเชื่อมั่น นี่ไง มันเป็นอย่างนี้เอง

เวลาคนของเรา ตัวตนมันเหมือนวัยรุ่น มองหน้าไม่ได้นะ มองหน้ามันไม่ยอม ทุกอย่างไม่ยอม ไปทิฏฐิมานะไง แล้วตัวตนจริงๆ มันอยู่ไหนล่ะ

คนเราเกิดมามีกายกับใจนะ ที่เราปากกัดตีนถีบกันอยู่นี้ หาปัจจัยเครื่องอาศัยมาเลี้ยงร่างกายนี้ แต่เลี้ยงร่างกายนี้ด้วยเรามีหัวใจ หัวใจมันต้องการธรรมะ ต้องการอาหารของมันเหมือนกัน หัวใจที่หิวโหย แล้วแสวงหาขึ้นมาเพื่อเลี้ยงร่างกายขนาดไหน หัวใจมันยิ่งหิวโหยมากขึ้น มันหิวโหยมากขึ้นเพราะสิ่งใด หิวโหยมากขึ้นเพราะมันอยากได้มากขึ้น

เราพยายามจะเลี้ยงมัน เลี้ยงนะ มันยิ่งหิวยิ่งโหย ยิ่งกระหายมากขึ้นตลอดไป แต่ถ้ามันจะอิ่มเต็มของมัน พุทโธ เราทำบุญกุศลของเราให้หัวใจมันอิ่มเต็ม ถ้าหัวใจ ทำบุญกุศลให้บุญกุศลในหัวใจของเรา เราพยายามประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าจิตสงบได้ นั่นล่ะตัวจริงของมัน ถ้าตัวจริงของมัน นี่ตัวตนๆ ไง

เวลาวัยรุ่นทิฏฐิมานะ มองหน้าก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ มันว่ามันใหญ่มันโตทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่รู้จักตัวเองทั้งนั้นเลย ไม่รู้จัก แล้วเราก็ไม่รู้จัก ชีวิตนี้คืออะไร ถ้าคนทำความสงบของใจได้ ไม่สงสัยเรื่องนรก ไม่สงสัยเรื่องนิพพาน ไม่สงสัยเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่สงสัยใดๆ ทั้งสิ้นเลย เพราะมันเข้าไปรู้ตัวมันเองไง เข้าไปเห็นตัวจิตเดิมแท้ไง ถ้าเห็นจิตเดิมแท้ มันเข้าใจสิ่งนั้นเลย ตัวนี้สำคัญมาก ถ้าสำคัญ นี่ไง เราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยทาน ทานของเรา เรากราบ เราทำบุญกุศลระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาเราถือศีลขึ้นมา ถือศีลเพื่อความปกติของใจ ถ้าเราทำสมาธิขึ้นมาได้ เราจะเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ไง ถ้าเราไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นี่ สัจจะความจริงที่นี่ เราจะเลี้ยงหัวใจของเรา ถ้าเลี้ยงหัวใจของเรา

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้สมบัติสามเณรราหุลๆ ให้พระสารีบุตรบวชให้ แล้วให้พระสารีบุตรสั่งสอนขึ้นมา สั่งสอนขึ้นมาจนเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ถ้าเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา สามเณรราหุลไม่เคยไปต่อว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลยว่าให้สมบัติไม่ดี ไม่เคยต่อว่าเลย มีแต่ชื่นชม มีแต่สามเณรราหุลนี่นะ เช้าขึ้นมา กำทรายขึ้นมากำหนึ่ง แล้วว่า “เราจะหาความรู้ให้เหมือนดั่งเม็ดหินเม็ดทรายนี้” ท่านเป็นคนขวนขวายมาก ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วนะ เป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เป็นสามเณร แล้วท่านยังขวนขวายของท่าน ศึกษาของท่านเพื่อความรู้ความเห็นของท่าน แล้วท่านขวนขวายตลอด

นี่เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธๆ พระพุทธศาสนาสอนถึงความสุขวิมุตติสุขอันนั้น เวลาบอกว่าเราทำบุญกุศลกัน จะไปนิพพาน โอ้โฮ! มันยาวไกล แต่เวลาทุกข์ เราไม่ต้องการ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ แล้วทุกข์ดับไป ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แล้ววิธีการดับทุกข์ๆ ทุกคนก็อยากมีความสุข ถ้าอยากมีความสุข ดูสิ เวลาคนชราคร่ำคร่าขึ้นมาก็ไปวัดไปวา ไปวัดไปวาไปทำไม ประเพณีวัฒนธรรมเขาไปวัด ไปจำศีล ไปจำศีลแล้วไปได้อะไรมา

แต่เวลากรรมฐานเรา อยู่บ้านก็ได้ อยู่วัดก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเราจะอุปัฏฐากหัวใจของเรา เวลาเราจะอุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเราจะค้นคว้าหาพุทธะในใจของเรา ถ้าเราค้นคว้าหาพุทธะในใจของเรา

หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นี่เป็นพระนามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันเป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธะเป็นชื่อขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนั่นชื่อ แต่ตัวจริงๆ ตัวจริงๆ ตัวเป็นๆ ที่เราจะสัมผัสได้ ตัวที่สัมผัสได้คือความรู้สึกของเรานี่ ถ้าเราสัมผัสได้ นี่ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก หัวใจของใครก็หัวใจของคนคนนั้นไง หัวใจดวงนี้ ปฏิสนธิจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่รู้ไม่เห็น เวลาเกิดมาแล้วพ่อแม่บอก

ถ้าเวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทำไมมันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะล่ะ

สิ่งที่มันเวียนว่ายตายเกิดเพราะบุญกรรมของเขา บุญกุศลส่งเสริมขึ้นมาให้เกิดมีบุญกุศล ให้เกิดคาบช้อนเงินช้อนทองมา เวลามีบาปอกุศล เกิดมาทุกข์จนเข็ญใจ เป็นทุคตะเข็ญใจ แต่ก็เกิดมาเหมือนกัน เป็นญาติกันโดยธรรมๆ เพราะมีปากมีท้องเหมือนกันไง เกิดมาแล้วก็ต้องปากกัดตีนถีบเพื่อหาเลี้ยงชีพของเราเหมือนกันไง ถ้าหาเลี้ยงชีพของเรา นี่เลี้ยงชีพเพื่อดำรงชีวิตนี้ เลี้ยงชีพไว้ทำไม เลี้ยงชีพไว้แสวงหาทุกข์ใช่ไหม เลี้ยงชีพไว้ประพฤติปฏิบัติใช่ไหม เลี้ยงชีพไว้เพื่อจะพ้นจากทุกข์ใช่ไหม เลี้ยงชีพแล้วเราทำอะไรต่อไปล่ะ

แต่เราทำต่อไป ถ้าเรามีสติปัญญา สติปัญญาเกิดขึ้น นี่อำนาจวาสนาบารมีของคน เพราะคนคิดไง คิดอย่างใดทำอย่างนั้น คนคิดอย่างใด แสวงหาสิ่งใด เขาจะแสวงหาประโยชน์ของเขา แล้วถ้าคนเขาแสวงหาทรัพย์สมบัติเขาไว้ เขาแสวงหามาแล้ว เขามีทรัพย์สมบัติมหาศาลเลย

ไอ้เราแสวงหาเดินไปเดินมา เดินจงกรมไง นั่งสมาธิภาวนาไม่ได้อะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย...ไม่ได้อะไรเลยก็ไม่เป็นภาระรุงรังไง ถ้าไม่ได้อะไรเลยเป็นผู้ทรงศีล เวลาบอกว่าเราทุกข์เราจน

ถ้าโยมมีศรัทธามีความเชื่อมาบวชเป็นพระ เช้าขึ้นมาบิณฑบาตเลี้ยงชีพโดยชอบ เลี้ยงชีพโดยชอบขึ้นมา เลี้ยงชีพมา เราบิณฑบาตมา สิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยนี้ไว้ ฆราวาสเขา เขาอยากได้บุญกุศลของเขา เขาต้องเลี้ยงชีพของเขาเหมือนกัน เขาหุงหาอาหารของเขามา ข้าวปากหม้อตักใส่บาตรใส่ผู้ทรงศีลไปด้วยเจตนา ด้วยบุญกุศลของเขา ด้วยความเชื่อของเขา มันสะอาดบริสุทธิ์ไง

เราก็เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง สมณะไม่มีอาชีพทางโลก เราเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยการภิกขาจาร ภิกขาจารสิ่งนั้นมาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพกลับมาแล้วโยมมีศรัทธามีความเชื่อ นี่ภัตตาหารตามมา ตามมาแล้ว เวลาตัก ให้พระได้สัมผัสไง ให้พระได้สัมผัส ให้พระได้เห็น ตามันได้เห็นรูป ความคิดจินตนาการของมันเวลาตักอาหารใส่บาตร ให้เขายับยั้งของเขา ให้เขามีสติปัญญาของเขา

เวลาฉันอาหารไปแล้ว ทำภัตกิจเสร็จแล้ว เวลาไปเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตมันไม่สงบๆ นั่งแล้วมันง่วงเหงาหาวนอน นั่งแล้วมันทำสิ่งใดไม่ได้ไง มันก็ย้อนกลับมาแล้ว เวลาตักอาหารเสร็จแล้ว ปฏิสงฺขา โยฯ จะฉันสิ่งใดต่างๆ เข้าไป มันมีไขมันไหม มันเป็นอาหารอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียดไหม

อาหารอย่างหยาบๆ สิ่งที่เป็นเนื้อสัตว์ อาหารอย่างกลางก็ผสมกัน อาหารอย่างละเอียด ข้าวเปล่าๆ ถ้าเราฉันเข้าไปแล้วไปเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา จิตมันสงบไหม ถ้าจิตไม่สงบ ถ้ามันโงกง่วง โงกง่วงเพราะเหตุใด มันต้องค้นคว้าหาเหตุหาผลทั้งนั้นน่ะ

นี่เหมือนกัน เรามาทำบุญกุศลของเรา เราก็ค้นคว้าหาเหตุหาผลของเรา ทำไมเรามาทำบุญของเรา เรามาทำบุญของเราเพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ในเมื่อจิตใจของเรายังมืดบอดอยู่ไง เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าผู้ที่ให้ทาน ผู้ที่ให้เป็นผู้ให้ ผู้ที่ให้มันสูงกว่าผู้ที่รับ แล้วเราจะให้ผู้อื่น เราให้ไม่ลง เราไปให้ผู้ทรงศีล เราถึงไปวัดไปวาไง เพราะเรายืนยันได้ว่าท่านไม่มีอาชีพ ท่านถือทรงศีลของท่าน ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เราเลี้ยงชีพอย่างนั้น เราเสียสละของเรา เสียสละเพื่อจิตใจของเรา แล้วเสียสละแล้วได้ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้

ให้ธรรมเป็นทาน เวลามาให้ปัจจัยเครื่องอาศัย ครูบาอาจารย์ท่านให้ธรรมๆ ท่านเตือนสติ ก็พูดเรื่องชีวิตนี้ พูดเรื่องจิตนี้ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะนี่ แต่การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันบุญพาเกิดๆ ถึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐๆ ไง มันประเสริฐที่ไหน ประเสริฐที่มีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญา มันแสวงหา แสวงหาทรัพย์สมบัติของใจ ทรัพย์สมบัติของใจ เงินทอง ทรัพย์สมบัติ กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันอยากได้ แต่ใจมันอยากได้อะไรล่ะ ใจมันอยากได้ศีล ได้สมาธิไง ถ้าใจมันอยากได้ พอได้สิ่งนั้นแล้วมันเข้าถึงใจ พอใจมันสำรอกมันคายสิ่งที่มันวิตกกังวลได้ มันเป็นอิสระ

สมาธิคือความไม่พาดพิงอารมณ์ แต่จิตเรามันมีอารมณ์ ดูสิ ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิวิญญาณ แล้วมันพาดพิงกับอะไร มันพาดพิงกับอะไร พาดพิงกับอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ เราพุทโธๆๆ จนมันเข้าไปเป็นอิสระไง ถ้ามันเป็นอิสระ มันไม่พาดพิงสิ่งใด นี่ไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แต่เราไม่เคยเห็น ทั้งๆ ที่อยู่กับเรา ทั้งที่เป็นต้นเหตุนะ ปฏิสนธิจิตเป็นต้นเหตุให้เป็นสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม มันก็จากจิตดวงนี้ไปเป็น จิตดวงนี้ๆ จิตดวงนี้ไม่เคยตายๆ มันได้สะสมของมันมาไง เพราะมันได้ทำบุญกุศลของมันมา มันถึงมีความรู้สึกนึกคิดแบบนี้ไง คนที่คิดดีๆ คิดดีๆ เพราะมันได้สร้างสมมันมา พระโพธิสัตว์คิดแต่เรื่องดีๆ ไง ถ้าเป็นเทวทัตๆ คิดแต่จองล้างจองผลาญเขาไง ถ้าความคิดจองล้างจองผลาญทุกภพทุกชาติ มันก็คิดจองล้างจองผลาญเขาตลอดไปไง

แต่ถ้ามันคิดดีของมัน มันคิดดีๆ ของมัน มันโดนกระทำอย่างไรมันก็ให้อภัยกับเขาไง ให้อภัย จิตใจที่มันประเสริฐ จิตใจที่มันดีไง ถ้าจิตใจที่ประเสริฐ ที่มันดี แล้วจิตของเรามีทั้งดีมีทั้งเลวในหัวใจของเรานี่ไง ถ้ามีทั้งดีทั้งเลวในหัวใจของเรา เราเสวยสิ่งใดล่ะ ถ้าเราเสวยสิ่งใด เราก็จะเป็นนิสัยอย่างนั้น เราถึงมาจำศีลไง เราถึงมามีศีลมีธรรมขึ้นมา

ถ้ามันคิดขึ้นมา มโนกรรมๆ สิ่งนี้ไม่ดีๆ มีสติมีปัญญา คนฉลาดขึ้นไหม ถ้าฉลาดขึ้น ถ้ามันรู้เท่าทันหัวใจของคน รู้เท่าทันความคิดของตน แล้วถ้ามันมีความคิดที่ไม่ดี ความคิดที่ไปเอาแต่โทษ ความคิดที่เอาแต่ภัยเข้ามาใส่ตัวเรา เราก็จะยับยั้งได้ เราชนะความคิดเรา เห็นไหม ถ้าชนะความคิด ชนะความคิดด้วยอะไรล่ะ ด้วยสติด้วยปัญญาของเราไง ด้วยสติปัญญา

เราไปศึกษาที่ไหน ครูบาอาจารย์คอยบอกคอยเตือนขึ้นมา มันก็เรื่องครูบาอาจารย์คอยบอกคอยเตือนทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเรามีสติปัญญารู้เท่าทันตัวเราเอง เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาไหม จิตใจของเราโตขึ้นมาไหม พระธุดงค์ๆ ไปอยู่ในป่าในเขาขึ้นมาต้องคิดด้วยตัวเอง ต้องดำรงชีวิตด้วยตัวเอง มันต้องพัฒนาของมันขึ้นมาไง ถ้าพัฒนาขึ้นมาแล้ว ดำรงชีพของเราก็ได้ เรามีประสบการณ์ของเรา แล้วเรายังมีสติปัญญารักษาหัวใจของเราได้ด้วยไง

ถ้าเรารักษาหัวใจของเราไม่ได้ มันเหมือนไฟเผากลางหัวใจน่ะ แต่ถ้าเรารักษาหัวใจของเราได้ พุทโธๆ มันละเอียดขึ้นมา ละเอียดขึ้นมาคือจิตมันเกาะพุทโธ เกาะพุทธานุสติ เป็นคำบริกรรม เกาะพุทธานุสติ มันมีที่เกาะที่พึ่งที่อาศัย มันก็มั่นคงของมันแล้ว แล้วพอมันมีที่พึ่งที่อาศัยเกาะของมันนะ เกาะพุทโธจนละเอียดเข้าไป จนมันจะพุทโธไม่ได้ มันจะพุทโธไม่ได้ ตัวมันมั่นคงมาก ตัวของจิตมันเป็นอิสระ มันไม่ต้องพาดพิงสิ่งใดเลย ไม่พาดพิงแม้แต่พุทโธ ถ้าไม่พาดพิงพุทโธแล้ว มันจะเป็นอิสระแล้ว มันจะเป็นสัมมาสมาธิแล้ว ไอ้เราก็แปลกประหลาดอีกเนาะ “อู๋ย! มันพุทโธไม่ได้ มันจะเป็นอย่างนั้น จะเป็นอย่างนี้” มันตลอดไปเพราะอะไร เพราะมันอาศัยเขาเคย

จิตนี้อยู่กับเวรกับกรรม กรรมดีกรรมชั่วมันพาดพิงเขามาตลอด แต่จริงๆ เราก็อยากจะผลักไส เราก็ไม่ต้องการ แต่มันก็ต้องพาดพิงไปธรรมชาติของมัน แล้วเราพุทธานุสติ มันจะพุทโธๆ จนเป็นอิสระไง ถ้าพุทโธจนเป็นอิสระ พอมันไม่พาดพิง มันเป็นอิสระ พออิสระขึ้นมา นี่สัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิขึ้นมา จิตสงบๆ แล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ ยกขึ้นวิปัสสนา นี่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งปัญญา แต่เป็นภาวนามยปัญญา ไม่ใช่จินตนาการ ไม่ใช่สัญชาตญาณ

สิ่งที่จินตนาการ สัญชาตญาณเกิดจากจิตๆ มันเป็นเรื่องของกิเลสทั้งนั้นน่ะ เรื่องของอวิชชา เพราะอวิชชามันศึกษาเล่าเรียนมาโดยสัญชาตญาณไง แต่พอมันเป็นอิสระขึ้นมาแล้ว ถ้ามันฝึกฝนได้ มันยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามันฝึกหัดใช้ปัญญาได้

ครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกหัดมานะ ท่านจะรู้ว่าวิปัสสนาอ่อนๆ คือจิตใจมันเริ่มเดิน เหมือนเด็กๆ เด็กๆ เราสอนมันหัดเขียนได้ อ่านได้ หัดทำงานได้ จิตถ้ามันหัดทำงานได้ มันจะเกิด นี่ไง สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ ในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในการเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง แล้วถ้ามันวิปัสสนาได้คือใช้ปัญญาได้ วิปัสสนาอ่อนๆ จากอ่อนๆ หน่ออ่อน หน่อของพุทธะมันจะเกิดขึ้นบนหัวใจของเรา เราฝึกหัดๆ ของเราขึ้นมาเพื่อประโยชน์กับเรา นี่จะเป็นสมบัติของเรา

สมบัติที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประทานให้กับสามเณรราหุล สมบัติทางโลกสมบัติที่จะเป็นจักรพรรดิ สมบัติที่เป็นกษัตริย์ สมบัติที่จะได้สมบัติ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าเป็นสมบัติสาธารณะ แต่สมบัติที่เป็นอริยมรรค สมบัติที่เป็นสัจจะความจริงขึ้นมา มันเกิดขึ้นกลางหัวใจของสัตว์โลก เกิดขึ้นในหัวใจของผู้ที่ฝึกหัด กลางหัวใจคนที่มีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานไง เราทำงานกันในออฟฟิศ เราทำงานในที่ทำงานของเราไง แต่เราหาที่ทำงานของใจไม่เจอ ถ้าใครหาที่ทำงานของใจ สัมมาสมาธิ นั่นล่ะเป็นสถานที่ทำงานของหัวใจไง เป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานจะเกิดตรงนั้น ความรู้ความเห็นจะเกิดตรงนั้น ความรู้ความเห็นสำรอก มันจะสำรอกที่นั่น แต่เราเข้าไม่ถึงตรงนี้กัน มันสำรอกสิ่งใดไม่ได้ไง ถ้าเราสำรอกสิ่งใดไม่ได้ มันก็เป็นการเวียนว่ายตายเกิด

อนิจจัง ความคิดเกิดดับๆ มันก็คิดกันไป จินตนาการกันไป นี่เรื่องโลกๆ เรื่องโลกๆ ถ้าคนมีสติปัญญา เริ่มต้นภาวนาก็ต้องเริ่มต้นภาวนาจากตรงนี้ จากความรู้สึกนึกคิดของเรานี่แหละ ถ้าจากความรู้สึกนึกคิดเข้าไป มันเป็นโลกียปัญญา มันเป็นสัญชาตญาณ โลกทัศน์ๆๆ เราจะคว่ำโลก เราจะพลิกโลก โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือเรา โลกคือมนุษย์ โลกคือจิต แล้วมันจะพลิกโลก คว่ำโลก ถ้าคว่ำของมันได้มันทำของมัน

นี่พูดถึงว่าฟังธรรมๆ มันจะสูงส่งขนาดไหนมันก็เป็นสัจจะ มันเป็นแก่นของศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมอย่างนี้ พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมถึงมีรัตนะ ๒ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมก็มีพระพุทธ พระธรรม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วใช้ปัญญาใคร่ครวญตามไปแล้ว พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก

พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ในใจเราหมดเลย พุทธะก็อยู่ที่เรา ธรรมะคือสัจจะความจริง อริยทรัพย์ สังฆะก็คือหัวใจที่มันเป็น

เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านบอกว่าพุทธ ธรรม สงฆ์รวมลงในหัวใจ มันเป็นหนึ่งเดียว โอ้โฮ! ท่านซาบซึ้งของท่านมาก แล้วท่านกราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบแล้วกราบเล่า กราบถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้รื้อค้นมาแล้ววางธรรมนี้ไว้ แล้วผู้ที่มีศรัทธามีความเชื่อ มีอำนาจวาสนาประพฤติปฏิบัติเข้าไป เข้าไปถึงจุดเดียวกัน เข้าไปถึงสิ่งเดียวกันแล้วมันซาบซึ้งมาก ซาบซึ้งจากใจดวงนั้น แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ

พระพุทธศาสนา ถ้าเป็นวัดก็ศาสนวัตถุ ถ้าเป็นพระก็ศาสนบุคคล ถ้าเป็นธรรมะก็ศาสนธรรม แล้วเราประพฤติปฏิบัติแล้วมันจะเข้ามาในใจเราได้อย่างไรล่ะ

เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนามันจะเข้ามา เข้ามาจากใจมันหดสั้นเข้ามา หดสั้นเข้ามาจนเป็นตัวมันเอง ตัวมันเองมันพลิกแพลงของมันเอง มันพิจารณาของมันเอง เราจะมีมรรคมีผลในใจของเรา เราจะมีทรัพย์สมบัติในใจของเรา เราเกิดมาเป็นชาวพุทธแล้วเราจะได้ทรัพย์สมบัติจากพระพุทธศาสนาที่ใครมีความสามารถขนาดไหนจะตักตวงเอาจากพระพุทธศาสนาเพื่อเป็นสมบัติของเรา เอวัง